เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ ก.พ. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะเพราะโยมขวนขวายกันมาเราขวนขวายนะเพราะเราไม่ประมาทในชีวิตความประมาทเห็นไหม เราไม่ประมาทในหน้าที่การงานของเรา เราไม่ประมาทในความรับผิดชอบของเรา เราไม่ประมาทนะ แล้วเราก็ไม่ประมาทลืมหายใจเข้าและหายใจออก

เวลาหายใจเข้าและหายใจออก คนถ้ามีสตินะ เขาตั้งสติแล้วกำหนดลมหายใจหายใจเข้าเป็นอานาปานสติของเราหายใจเข้า-หายใจออกทุกวัน หายใจเข้า-หายใจออกตลอดเวลา การหายใจเข้าและหายใจออก ถ้าไม่หายใจก็คนเสียชีวิต ก็ต้องตายไป

แต่เวลาหายใจเข้า-หายใจออก หลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่าเราหายใจเข้าและหายใจออกทิ้งเปล่าๆ ทั้งๆ ที่ของประจำเราของมันมีอยู่กับเรานี่แหละเพราะการเกิดมาลูกเกิดมาครั้งแรกเขาต้องให้หายใจด้วยตัวเอง อยู่ในท้องแม่นี่หายใจโดยสายสะดือหายใจผ่านจากแม่ เวลาเกิดมาต้องหายใจให้ได้ด้วยตัวเองเวลาหายใจด้วยตัวเอง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ความประมาทเลินเล่อพระพุทธเจ้าเตือนเอาไว้เลยนะ ให้เราไม่ประมาทกับชีวิตไม่ให้ประมาทกับหน้าที่การงาน ไม่ให้ประมาทกับความรู้สึกนึกคิดของเรา เวลาความรู้สึกนึกคิดของเรา ความคิด กตัญญูกตเวที ระลึกถึงพ่อถึงแม่ ระลึกถึงคนดี เรามีน้ำใจต่อกัน เราไม่ประมาทสิ่งนั้นแต่เวลาความคิดที่ใฝ่ต่ำความคิดที่มันเป็นลบ ความคิดที่มันเบียดเบียนหัวใจเรา เราพยายามปฏิเสธมัน เราไม่ต้องการให้สิ่งนี้มาเบียดเบียนเรา เราไม่ต้องการให้สิ่งนี้มาทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ เราไม่ต้องการสิ่งนี้เลยทำไมสิ่งนี้มันอยู่กับเรา

เวลาคนหายใจเข้า-หายใจออก ถ้าหายใจเข้าหายใจเข้าเอาโอโซนที่ดี เวลาหายใจเข้า-หายใจออกในที่มีมลพิษ เวลาคนเขาทำงานกับแก๊สพิษ เขาหายใจเข้าไปแก๊สพิษเข้าไปเขาเสียชีวิตทันทีเลย เพราะเขาหายใจเอาสิ่งที่เป็นพิษเข้าไป

เวลาหายใจเอาโอโซนที่ดีหายใจที่ดี ความคิดที่บวก ความคิดที่ดี เราอยากจะอยู่กับสิ่งนี้ๆสิ่งนี้เป็นธรรมสิ่งที่เป็นธรรมคือสัจจะความจริงไง แต่สิ่งที่เป็นลบ สิ่งที่เป็นโทษ สิ่งที่เป็นโทษนี้เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบีบคั้นหัวใจเรามันบีบคั้นหัวใจของเรา แล้วมันมาจากไหนล่ะมันมาจากไหนมันทำไมถึงเกิดมาล่ะ ทำไมไม่เกิดสิ่งที่ดีมาทำไมไม่เกิดขึ้นมาให้เรามีแต่ความสุข ให้เรามีแต่ความพอใจล่ะ

เวลาโลกนี้มันเกิดนะเหรียญมีสองด้าน ธรรมชาติของอวิชชาอวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ไม่รู้อะไร? ไม่รู้ก่อนที่จะคิดนี่ไง

“มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้อีกเลย”

เวลาก่อนคิด “มารเอย เธอเกิดจากความดำริ” ดำริ ความนึกคิด เวลามันจะมีความรู้สึกนึกคิด มันมีความดำริ มันใฝ่ต่ำ ใฝ่ต่ำหรือใฝ่สูงล่ะ ถ้าใฝ่สูง เรามีสติปัญญา เราใฝ่สูงใฝ่สูงเราใฝ่ที่ดีใฝ่ที่ดี กิเลสเขาเยาะเย้ยถากถางกัน เยาะเย้ยถากถางคนมาวัดนี่ “คนมาวัดนี่ไอ้พวกมีปัญหา ไอ้คนเขาอยู่บ้านของเขา เขาสุขสบายของเขา” ดูเขาคิดของเขาสิ

อ้าว! คนที่ไปวัดเขาขวนขวาย เขาไปเสียสละของเขาเขาไปทำบุญกุศลของเขา นี่การเห็นสมณะเป็นมงคลชีวิตอเสวนา จ พาลานํ มงคลชีวิต๓๘ ประการมงคลชีวิต เราไม่คบคนพาล เราจะคบบัณฑิต เราจะรักพ่อรักแม่เราจะดูแลพ่อแม่ของเรา อุปัฏฐากพ่อแม่ของเรา นี่เราคบบัณฑิตเห็นสมณะ เห็นสมณะเป็นมงคลของชีวิต เราเห็นสมณะไง

แต่ถ้าเราไปเห็นสมณะที่เราไม่พอใจล่ะสมณะที่ทำตัวแปลกแยกจากสมณะไป เราเห็นอย่างนั้นก็บาดตา เราบาดตาเรานะเราบาดตาเพราะอะไร เพราะเราหวังดี เราใฝ่ดี นี่คนไปวัด เวลาเขาคิดเขาบอกพวกนี้มีปัญหา

มันมีปัญหาอยู่แล้ว มีปัญหาเพราะปัญหาชีวิตของเขาไง ปัญหาอวิชชา ปัญหาความไม่รู้ในหัวใจของเราไงเราไม่ประมาทกับชีวิตไง ในเมื่อเราไม่ประมาท เรารับผิดชอบ เราไม่ประมาทในหน้าที่การงานของเรา เราไม่ประมาทต่างๆของเรา แต่เราไม่ประมาทกับการเกิดและการตาย

เวลาเกิดเวลาตาย เวลาเกิดมา เกิดมาจากกรรม กรรมดี เวลาเกิดนี่กรรมดีๆ เพราะมนุษย์สมบัติมนุษย์สมบัตินี้เป็นอริยทรัพย์เป็นอริยทรัพย์เพราะอะไรเพราะเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีกฎหมายคุ้มครอง เวลาสัตว์ขึ้นมา สัตว์ดูสิ เขาบอกว่าการฆ่าสัตว์แม้แต่จะฆ่ามาเป็นอาหารยังฆ่าด้วยความไม่ทรมาน ฆ่าด้วยความเมตตาปราณี นี่โลกเขาก็คิดอยากจะทำดีกันนั่นแหละแต่คิดได้แค่นั้นไง

แต่เวลาการเกิดการตายของเราล่ะ การเกิดการตายของเรา ถ้ามีการเกิดที่ไหนมันต้องมีการตายที่นั่น ถ้ามีการเกิดขึ้นมามันต้องมีการตายที่นั่น แต่การเกิดเป็นอริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาเพื่อไขว่คว้าเกิดมาเพื่อแสวงหา เกิดมาเพื่อทำคุณงามความดี เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดมาแสวงหาจนถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ไป

การเกิดเกิดแล้วแสวงหาเราแสวงหาทางโลกเราก็แสวงหา เราไม่ประมาทกับชีวิตเราไม่ประมาทกับลมหายใจเข้าและลมหายใจออกหรอก เราไม่ประมาทกับชีวิตนี้ นี่เราแสวงหาแสวงหาเพื่อดำรงชีวิตแสวงหาไว้เพื่อศักยภาพ เพื่อความมั่นคงของชีวิต แล้วความมั่นคงของชีวิตเวลามันช็อกอย่างนี้ ไปแล้วความมั่นคงของชีวิตไง ช็อกเดี๋ยวนี้ก็ตายแล้ว มันมั่นคงที่ไหนล่ะ นี่ชีวิตนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย

เราประมาทกับชีวิตนะ ถ้าประมาทกับชีวิต หน้าที่การงานก็ทำไม่ใช่ว่าประมาทกับชีวิต ไม่ทำสิ่งใดเลย แล้วจะแสวงหา ถ้าไม่ทำสิ่งใดเลย ก็มาเป็นนักพรตนักบวช ดูสิแม้แต่สิ่งนี้เป็นบุญกุศล ทุกคนก็ต้องการความมั่นคงของชีวิตทำไมพระเราออกธุดงค์ อยู่สุขสบายทำไมไม่เอา เข้าป่าเข้าเขาไปทำไม ไปทุกข์ไปยากทำไม ไปข้างหน้ารู้ไหมว่าวันนี้จะบิณฑบาตจะมีอะไรตกถึงบาตรเราไหม ไปแสวงหา ไปเปรียบเทียบบารมีของตัวว่ามันจะดำรงชีวิตได้ไหม

เวลาอยู่วัด วันนี้ผ่อนอาหาร อดอาหาร มันก็มีหมดแหละ เขาทำทำไม เขาทำทำไม? เพราะเขาทำเพื่อแสวงหาความจริงไงแสวงหาความจริง ในเมื่อเราประพฤติปฏิบัติเราทำของเราแล้วมันสงบก็ไม่ได้ เวลาสงบแล้วเดี๋ยวมันก็เสื่อมเวลาจะพิจารณาปัญญามันก็ไม่ก้าวเดิน

ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส สิ่งใดถ้ามันอุดมสมบูรณ์เกินไปเราก็นอนใจ สิ่งใดถ้ามันขาดแคลนขึ้นมาเราก็ต้องรีบแสวงหาขึ้นมาเพื่อมาเติมเต็มให้มัน ในหัวใจของเรา เราแสวงหาอยู่นี่ เราแสวงหาสิ่งนี้ไม่ได้ เราจะมีสิ่งใดเพื่อส่งเสริมธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส ขัดเกลาเห็นไหม มันตื่นเต้นนะ เวลามันมีสิ่งใดที่เข้าไปสะกิดมัน มันจะตื่นเต้นแล้ว เวลาอุดมสมบูรณ์มันไม่เคยคิดถึงหรอก แต่ถ้ามันขาดแคลนเมื่อไหร่มันจะคิดถึงแล้ว อ๋อ! อันนี้มันเริ่มขาดแคลนแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน เราอุดมสมบูรณ์บิณฑบาตด้วยอำนาจวาสนาบารมี บิณฑบาตมา บิณฑบาตมายังมักน้อย ยังสันโดษ สันโดษนะ พอมีพอเป็นมักน้อย ที่มีแล้วในบาตร เอาไว้ในบาตร ไม่ได้ฉันหรอก เอาไว้ในบาตรพิจารณา ดูสิกิเลสมันอยากไหม ดูกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว นี่มันไม่ประมาท มันค้นหาไง คิดบวก-คิดลบไงถ้ามันคิดบวกมันก็เป็นคุณงามความดีของเรา นี่ธรรม เราแสวงหาธรรมๆ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญาปัญญาต้องเป็นสัมมาทิฏฐิปัญญาที่ดีงามไม่ใช่ปัญญาที่ว่าประมาทเลินเล่อแล้วตัวเองก็ว่า“พวกที่ไปวัดไปวามันพวกมีปัญหา เราอยู่บ้านอยู่เรือนของเรา เราเป็นคนมีความสุข” อยู่ในบ้านเปิดแอร์ให้เย็นเลย อยู่บนตึก ๕ ชั้น ๑๐ ชั้นมันก็ไปทุกข์อยู่บนนั้นแหละเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ในบ้าน

มีมากนะระหว่างพ่อแม่กับลูก พ่อแม่ก็บอกว่าลูกก็ต้องอุปัฏฐากดูแลเราไอ้ลูกก็อุปัฏฐากดูแลพ่อแม่นั่นแหละ แต่เวลาบอก ตอบสนองอย่างไร พ่อแม่ก็จะเอาอย่างนั้นๆ

ความจริงไม่ใช่หรอกความจริงคือน้ำใจ ความจริงคือพ่อแม่อยากให้ลูกอยู่ใกล้ชิดความจริงพ่อแม่ก็ต้องการให้ลูกเชื่อฟัง แต่เวลามันเชื่อฟัง มันพูดกันก็ไปว่าสิ่งที่อุปัฏฐากนั้นมันขาดตกบกพร่องความจริงมันก็อยู่ที่ความสุขความทุกข์ในใจนั่นแหละ ความจริงมันอยู่ที่นั่นน่ะ ถ้าความจริงอยู่ที่นั่น แล้วถ้าเราไม่ประมาทเลินเล่อ เราเข้าไปหามันเลยเราทำความสงบของใจเข้ามา เราจะเข้าไปหาใจของเราเองเลยเราจะไม่ประมาทเราไม่ต้องฝากใคร เห็นไหมเวลาทำบุญกุศลอุทิศส่วนกุศลๆ

เวลาเราประพฤติปฏิบัติตั้งสติ พุทโธๆ จิตมันสงบเข้ามา นี่สัมมาสมาธิ เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนาวิปัสสนาคือปัญญาการรู้แจ้งการรู้แจ้งในหัวใจของเรามันถอดมันถอนขึ้นไป มันต้องใครอุทิศให้ล่ะ ของฉันๆ มันไปกับฉัน เวลาจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไปเกิดทุกข์จนเข็ญใจไปเกิดต่างๆ นี่เพราะเวรกรรมของเขาไง จิตนี้มันเวียนว่ายตายเกิดไง เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เขาทำของเขามาไง

แล้วทำของเขามา ดูสิเวลาถึงวาระถึงคราว เวลาพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นกวางองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นสัตว์เวลาถึงวาระของมันไง ฉะนั้น เขาถึงไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกันนี่วาระของเขาวาระของเขามันตกทุกข์ได้ยากของเขา เวลาวาระของเขาเพราะเขาประมาทเลินเล่อเขาทำสิ่งใดขึ้นมา ผลกรรมมันให้เหตุผลอย่างนั้น แต่เวลาหมดวาระนั้นแล้วเขาไปเกิดสิ่งที่ดีกว่านั้น หมดวาระนั้นเขาเกิดปัญญาขึ้นมาของเขาเขาใช้วิปัสสนาญาณของเขาทำประโยชน์ของเขา นี่เวลาของเขา เราไม่ประมาทกันตรงนี้ไง เราไม่ประมาทว่าทุกคนมีสิทธิเสรีภาพทำ แต่วาระของคนมันไม่เหมือนกัน ถึงวาระนั้นแล้วเรามีน้ำใจต่อกันวาระมันเกิดขึ้นมา

ดูความรู้สึกนึกคิดของเราสิ เดี๋ยวมันก็สูง เดี๋ยวมันก็ต่ำเวลามันสูงขึ้นมามันสูงได้มหาศาลเลย มันสูง คิดได้เต็มที่เลย เวลามันเสื่อมนะ ดูสิเวลาเราเห็นคนในทางโลกเรามองไป ดูหนังดูละคร ย้อนดูตัวเอง ดูสังคม ดูผลของวัฏฏะสิทำไมเขาเกิดเป็นอย่างนั้น ถ้ามันเกิดเป็นอย่างนั้น นี่เที่ยวกายนอก ทำไมพระเรา เวลานักปฏิบัติต้องไปเที่ยวป่าช้า ป่าช้าไปทำไม มีแต่คนกลัวผี ไปป่าช้าทำไม

ไปให้เห็นไงว่าเอ็งจะมานอนเป็นคนต่อไป เราจะมานอนเป็นคนต่อไป แล้วจะมานอนที่นั่น ดูสิเขามานอนอยู่ก่อนแล้ว แล้วเราก็จะมานอนอยู่ที่นี่แหละ แล้วเรามานอนๆ มันคิดนะ แล้วจริงไหมเรามานอนหรือเปล่า

เราไม่ได้นอนหรอก เศษซากทิ้งมันมานอน จิตมันไปแล้ว เวลาจิตมันออกจากร่าง จิตมันไปแล้ว มันทิ้งเศษซากมานอนแต่ประเพณีเขาก็ถือกันไปอย่างนั้นไง กายนอกๆไง เราไปเที่ยวป่าช้า ให้ไปเที่ยวป่าช้า ให้มรณานุสติไง ให้ระลึกถึงความตายไง เขาเตือนเขาเตือนให้เรามีสติ อย่าประมาทกับชีวิตนะ ถ้าชีวิตยังมีอยู่ให้รีบขวนขวายนะความดีของเรามีมากน้อยแค่ไหนบุญกุศลของเราสิ่งที่พึ่งพาอาศัยเรามีมากน้อยแค่ไหน ควรทำไว้ๆ เพราะเวลามันให้ผลขึ้นมามันให้ผลมาอย่างนี้ เพราะอะไร

เพราะเวลาเราเกิดมาแล้วเราจะน้อยเนื้อต่ำใจ “ทำไมเขาเป็นอย่างนั้นทำไมเราเป็นอย่างนี้ ทำไมคนนั้นเป็นอย่างนู้นทำไมคนนู้นเป็นอย่างนี้ ทำไมเราไม่เหมือนกับคนนู้น”

ก็เขาทำของเขามา เขาทำของเขามาพ่อแม่คนเดียวกันนั่นแหละ เวลาเกิดลูกมาแต่ละคราวแต่ละวาระเวลาเกิดลูกขึ้นมา พ่อแม่กำลังอุดมสมบูรณ์ ไอ้พ่อแม่ใหม่ๆ ลูกคนแรกนี่เห่อมากเลย แต่คนที่๒ คนที่ ๓ ชัก เออ! เฉยๆ แล้วเฉยๆ

ไอ้คนแรกก็เห่อนะ อู๋ย! ดูแลใหญ่ ก็พ่อแม่เหมือนกัน พ่อแม่เดียวกัน แต่ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ แต่เกิดเป็นลูกคนแรกคนจีน เห็นไหมเกิดเป็นลูกคนแรกต้องรับผิดชอบ เป็นพ่อแม่คนที่สอง เกิดเป็นลูกคนแรกพ่อแม่เห่อมากเลย แต่ภาระรับผิดชอบก็ตามมานะ ภาระรับผิดชอบ เราเป็นพี่ใหญ่ เราจะต้องดูแลน้อง เราต้องดูแลรักษาเราต้องเป็นพี่ที่ดีมันค้ำคอนะ มันก็ค้ำคอ

เวลาเกิดมา เกิดจากพ่อแม่เดียวกันทำไมไม่เหมือนกัน ทำไมเกิดวาระมันแตกต่างกัน...เขาทำของเขามาทั้งนั้นแหละ ถ้าทำคุณงามความดีมามันเป็นความดีแล้วความดี คิดดีๆ คิดที่ดีๆเลือดข้นกว่าน้ำในเมื่อพี่น้องเรารักกันด้วยสายเลือด สายเลือดมันตัดกันไม่ขาดหรอก นี่สายเลือดนะ จะดีจะชั่วก็สายเลือดเดียวกัน เราสายเลือดเดียวกันเราจะให้อภัยต่อกัน นี่พูดถึงสายเลือด

แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม มีปากมีท้องเหมือนกันต้องหาอยู่หากินเท่ากัน เราเป็นญาติกันโดยสัจธรรม เราเป็นญาติกันโดยความเป็นมนุษย์ไง มนุษย์มันมีปากมีท้องมนุษย์ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทุกๆคน ถ้าเราทำได้ถ้าเราทำได้นะเราควรให้อภัยเราควรดูแลเขาถ้าทำได้นะ แต่มันทำไม่ได้น่ะสิมันทำไม่ได้เพราะอะไรเพราะกรรมของเขา สัจจะความเห็นของเขาไงเราทำดีขนาดไหนเขาหาว่าเราไปรังแกเขา เราปรารถนาดีกับเขา เขามองเป็นมุมลบหมดเลยเห็นไหม เราปรารถนาดีกับเขา เราต้องการแต่เขามองไปมุมลบหมดเลย อันนี้ก็กรรมของสัตว์

กรรมของสัตว์เพราะเราทำดีแล้ว เราปรารถนาแล้วเรามีน้ำใจทำเพื่อเขา แต่เขามองไม่ออกหรอก เขามองเป็นลบไปหมดเลย นี่เวรกรรมมันเป็นอย่างนี้เวรกรรมนะ ถึงวาระนะ พอเขาคิดได้ก็ เฮ้อ! เพิ่งนึกได้ พอเพิ่งนึกได้นะ เราก็เจ็บช้ำน้ำใจไปแล้ว

เวรย่อมระงับด้วยความไม่จองเวร เราไม่จองเวรจองกรรมต่อใครนะ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ เราไม่จองเวรจองกรรมต่อใคร แต่เราก็ต้องมีปัญญา ปัญญาคือเรามีสติปัญญาที่สูงกว่าเราจะมีสติปัญญาที่รักษาตัว แต่คนที่ต่ำกว่า เขาจะดึงลงให้ต่ำ “ถ้ารักฉันจริงต้องลงมาคลุกคลีกับฉัน” แล้วเราจะลดตัวเราลงไปอย่างนั้นได้อย่างไร

เวรย่อมระงับด้วยความไม่จองเวร เราจะไม่จองเวรจองกรรมกับใครแต่เราก็ไม่ปล่อยตัวเราให้ตกต่ำไปอย่างนั้น เราต้องมีสติปัญญายกตัวเราสูงขึ้น ยกหัวใจตัวคือหัวใจนะยกหัวใจให้สูงขึ้น ยกความรู้สึกนึกคิดเราให้สูงขึ้น เขายิ่งเหยียดหยาม ยิ่งชักนำกดให้ต่ำเราจะยกใจให้สูงขึ้น ยกใจให้สูงขึ้นด้วยสติด้วยปัญญาของเรา มันอยู่ในหัวใจของเราความรู้สึกนึกคิดมันอยู่ในหัวใจของเราใครจะรู้กับเราได้

ถ้ายกตัวให้สูงขึ้นต้องยิงจรวดขึ้นไปใช่ไหม ยิงจรวดขึ้นไปบนฟ้าเลย ตัวฉันสูงอยู่บนก้อนเมฆ...ไม่ใช่

หัวใจสูงคือความคิดเป็นนักปราชญ์ความคิดที่ดีหัวใจที่ต่ำต้อยมนุสสติรัจฉาโนมนุสสเปโตมนุษย์เดรัจฉานมนุษย์เปรต มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา เราเป็นมนุษย์นี่แหละเขาวัดกันที่ความรู้สึก วัดกันที่ปัญญานี้ ถ้ามนุสสเทโว เป็นมนุษย์อยู่นี่มันยิ่งกว่าเทวดาอีกทำไมเขาประพฤติตัวของเขาอย่างกับเทวดาเลย

มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์แท้ๆ มันทำลายครอบครัวมันเองมันทำลายทุกคนมันยิ่งกว่าสัตว์แล้วเราจะทำตัวเราให้ต่ำต้อยไปอย่างนั้นไหม

นี่ก็เหมือนกัน บอกว่าถ้าเราเมตตาเขาก็ต้องไปคลุกคลีกับเขาหรือ

ไม่ใช่ เราเมตตาเขา เวรย่อมระงับด้วยความไม่จองเวรนะ เพราะเรื่องเวรเรื่องกรรมมันเป็นเรื่องที่ทุกคนได้สัมผัสนะ เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ปัญหาสังคมไม่มีวันจบสิ้น คนสองคนความคิดแตกต่างกันแล้ว คนสองคนก็มีความขัดแย้งกันแล้วแล้วเราเป็นครอบครัว เราเกิดมาเป็นสังคมไม่มีความขัดแย้งหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีความขัดแย้งอยู่แล้ว

แต่ความขัดแย้งถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิความขัดแย้งเพื่อประโยชน์เพื่อคุณงามความดี เรารักษาใจเราไว้ เจรจากันได้ เจรจา ถ้าเจรจากันไม่ได้เราสงวนรักษาหัวใจเราไว้ เราก็เจรจากับเขา แต่เราไม่ปล่อยตัวเราลงต่ำนะเพราะเวรย่อมระงับด้วยความไม่จองเวร เราไม่จองเวรจองกรรมกับใคร เราจะสร้างคุณงามความดีของเราเราไม่ประมาทกับชีวิต แล้วเวลามาประพฤติปฏิบัติมันจะร้ายกาจกว่านี้นะ

คำว่า“มาประพฤติปฏิบัติ” ใครได้กระทำสิ่งใดมาก็แล้วแต่ ลองหลับตาแล้วภาวนาดูนะ สิ่งนั้นมันจะกลับมาหลอกหลอนทั้งนั้นแหละ แล้วเราจะแก้ไขปลดเปลื้องสิ่งนั้นไง ใครทำสิ่งใดไว้ ความลับไม่มีในโลกหรอก ใครทำสิ่งใดตั้งแต่เด็กจนผู้ใหญ่ ใครทำคนนั้นจำได้ แล้วพอมานั่งภาวนาพุทโธๆ ถ้าจิตสงบนะ มันมาแล้วมันมาแล้ว ความลับไม่มีในโลกหรอก

ฉะนั้นเวลางานมันสำคัญมาก งานที่เราจะทำ เราไม่ประมาทกับชีวิตเราดูแลชีวิตเราหน้าที่การงานเราก็ไม่ประมาทเราไม่ประมาททุกๆ อย่าง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนไว้เลย“ภิกษุทั้งหลายเธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”เป็นคำสั่งเสียขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายนะ

ครั้งสุดท้ายพระพุทธเจ้าสั่งเสียไว้ อย่าประมาทกับทุกๆอย่าง อย่าประมาทกับชีวิตอย่าประมาทกับหน้าที่การงานอย่าประมาทกับทุกๆ อย่าง แล้วเราตั้งสติไว้รักษาไว้เพื่อประโยชน์กับชีวิตนี้ เอวัง